วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ITE 628: การจัดการความรู้ - บทที่ 3 : สารสนเทศ ความรู้ และการจัดการความรู้

ในศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกกันว่า สังคมความรู้ (Knowlegge society) และระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ () ที่ให้ความรู้และนวัตกรรม () แต่เราจะเห็นว่าทุกๆหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ มักจะเร่งที่เข้าสู่การแข่งขันโดยการมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนองค์กร อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้องค์กรของตนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพจึงต้องปรับเปลี่ยนให้องค์กร เป็นแหล่งเรียนรู้ในทุกๆด้าน เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างยังยืนต่อไป โดยจะเน้นการตอบสนองที่ผู้บริโภคเสียส่วนใหญ่ และนับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะมีบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมก็ตาม เข้ามามีบทบาทในการให้แหล่งความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจในด้านของปรัชญาเศรษฐกิจเพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศด้วย
ความหมายของข้อมูล สารสนเทศ ความรู้และปัญหา
สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการกรองหรือประมวลผลเรียบร้อยแล้วนั่นเอง ซึ่งพร้อมที่จะนำมาใช้ได้เลย อีกทั้งยังมีแหล่งอ้างอิงที่มาอย่างชัดเจนอีกด้วย
ซึ่ง Anthony Debons ได้ให้ความหมายของ สารสนเทศ ว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
1. Data Driven หมายถึง ส่วนที่เป็นข้อมูล (data) ได้แก่ เหตูการณ์ต่างๆ สัญลักษณ์ต่างๆ กฎ สูตร
2. Cognitive Driven หมายถึงการรับรู้มีความหมาย (meaning) ของข้อมูลมาเกี่ยวข้อง ได้แก่สารสนเทศที่นำมาจากการปรับปรุงจากของเดิมและหลักฐานบันทึกต่างๆที่จะนำไปสู่การสร้างเป็นความรู้โดยมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ และเพื่อให้เกิดปัญญา (wisdom)
สรุปก็คือว่า จาก เหตุการณ์ต่างๆ สัญลักษณ์ต่างๆ กฎและสูตรต่างๆ รวมกันเป็นข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลเหล่านั้นมา ก็จะนำมาวิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ออกมาเป็นสารสนเทศ เมื่อได้สารสนเทศหลายๆสารสนเทศและนำมารวบรวมเป็นความรู้ เมื่อได้ความรู้มากมายแล้วก็จะนความรู้นั้นให้มาเกิดเป็นปัญญา หรือนำมาใช้ในการตัดสินนั่นเอง
การแบ่งประเภทของความรู้ ความทรู้นั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ความรู้โดยนัย (Tacit ฟรือ Implicit Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่เป็นความรู้เฉพาะตัวที่เกิดจากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม ความเชื่อ เจตคติของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความรู้ที่บวกกับสติปัญญาและประสบการณ์ เป็นความรู้ที่ไม่อยู่นิ่งมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เช่น ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์เนื่องจากมีการปฏิบัติมาเป็นเวลานานจึงทำให้เกิดความเคยชินและช่ำชอง ซึ่งความรู้ประเภทนี้เป็นความรู้แบบไม่เป็นทางการ ซึ่งองค์กรเองก็พยายามที่จะปรับเปลี่ยนความรู้ลักษณะนี้ โดยการสังเกตหรือเลียนแบบเพื่อให้เป็นความรู้ที่ปรากฎและฝังอยู่กับองค์กร
2. ความรู้ที่ปรากฏ (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาในรูปแบบของการบันทึก เช่น หนังสือ วารสาร บทความ เอกสาร สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า รายงานประจำปี สื่อต่างๆ ซึ่งความรู้ที่ปรากฏถือได้ว่ามีการใช้สัญลักษณ์ ทั้งภาษาที่พูดและเขียน ถือว่าเป็นความรู้ที่สะสมมานานใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการตรวจสอบอย่างมีระบบได้
3. ความรู้ที่เกดจากวัฒนธรรม (Culture Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา นำมาผสมผสานกันจนเป็นความรู้และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย เช่น ธรรมชาติของการปฏิบัติงานในองค์กร วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในองค์กร เป็นต้น

ทำไมเราจะต้องมีการจัดการความรู้
นั่นเป็นเพราะว่า ความรู้ต่างๆมีการกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ที่สะสมอยู่ในองค์กรและไม่ได้มีการนำมาใช้อย่างถูกต้อง จึงต้องมีการนำความรู้ต่างๆมาเก็บรวบรวมให้อยู่ในที่เดียวกัน เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ และเพื่อให้ความรู้เหล่านั้นถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาที่ต้องทำให้มีการจัดการความรู้ คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเนื่องจากข้อมูลไม่ถูกต้อง และการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ระบบการสื่อสารที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ระบบการขนส่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ความสำคัญของการจัดการความรู้  เมื่อความรู้มีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบการนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ก็จะนำมาใช้ได้อย่างเป็นระบบด้วย ซึ่งความรู้ที่ทันสมัย ถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วน จะดีต่อการนำไปใช้ในการแข่งขันทางธุรกิจสูง
การใช้ความรู้ในสังคมความรู้ ก็คือ การทำงานเป็นทีมให้ได้อย่างแท้จริง มากกว่าการทำงานเป็นตัวบุคคล  ซึ่งองค์กรต่างๆต้องการแรงงานที่มีความรู้มากกว่าแรงงานที่ไม่มีความรู้  ซึ่งความรู้ในสังคมนั้นจะเป็นความรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้มีการนำมาปรับใช้ในการปฏิบัติงานจริงแล้วเท่านั้น และเพื่อให้องค์กรสามารถดึงความรู้ไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว จึงต้องมีการทำการบริหารจัดการความรู้เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เสียก่อน โดยจะต้องสร้างให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันทั้งภายในและภายนอกองค์กร ดังนั้นจึงต้องมีเรื่องของศาสตร์ทางสังคม การจัดการ จิตวิทยา และเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และการจัดการความรู้ก็เป็นที่มาของการบริหาร 4 M นั่นเอง ก็คือ 1.Man 2.Material 3.Money 4.Management สิ่งที่สำคัญสำหรับการบริหาร 4 M มากที่สุดก็คือ Management การบริหารจัดการนั่นเอง
การพัฒนาการของการจัดการความรู้ มีด้วยกันอยู่ 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 ของการจัดการความรู้ การจัดการในขั้นนี้จะเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริง เช่น การใช้อินเทอร์เน็ต ในการสร้างความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ขั้นที่ 2 จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และมิติทางวัฒนธรรม คือการนำความรู้ที่มีการจดบันทึกไว้ หรือที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มาใช้ต่อและนำมาพัฒนาให้เกิดความรู้ใหม่ๆขึ้นมาอีก รวมถึงการนำมาประยุกต์ใช้ด้วย

*************************************




ทำความเข้าใจกับการจัดการความรู้
ในสังคมปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับองค์ความรู้อย่างมาก และยังแยกแรงงานทั่วไป (labors force) กับแรงงานความรู้ (knowledge worker) ออกจากกันอีกด้วย เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจขององค์กรเหล่านั้นประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยกลไกขององค์ความรู้ โดยการจ้างคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่างๆเพื่อให้องค์กรมีความแตกต่าง และมีศักยภาพในการแข่งขัน อีกทั้งยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อีกด้วย
ความแตกต่างระหว่างข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ และความฉลาด
จริงๆแล้ว คำว่า สารสนเทศ กับ ความรู้ ถ้ามองความแตกต่างทางด้านเทคนิคมันจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งสานสนเทศนั้นเน้นในเรื่องของซอฟต์แวร์ที่นำมาจัดการสารสนเทศ และความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือความรู้และข้อมูลที่เก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล ซึ่งจะเห็นความแตกต่างได้จากตัวบุคคลมากกว่าจากเครื่องจักรกล เพราะความรู้ต่างๆนั้น จะอยู่ที่บุคคลมากกว่า ซึ่ง ข้อมูล ก็คือ เนื้อหาหรือตัวเลขที่ไม่ได้บ่งบอกความหมายอะไร แต่ สารสนเทศ คือ ข้อมูลต่างๆที่มีการจัดเก็บหรือบันทึกไว้ ซึ่งจะบวกกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญที่ถูกสะสมมาแรมปี ซึ่งองค์ส่วนมากเริ่มที่จะจัดการความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรให้เป็นระบบระเบียบเพื่อให้องค์กรของตนได้เป็นแหล่งเรียนรู้ และจะเห็นได้ว่า เราสามารถที่จะแยกแยะ ความรู้ กับ สารสนเทศ ได้อย่างชัดเจนทีเดียว ซึ่งจะมีหลักในการพิจารณาอยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ
1. ข่าวสาร สารสนเทศเป็นอิสระ ส่วนความรู้เป็นเรื่องพิเศษเฉพาะตัว
2. ความรู้จะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ และความรู้จะไม่ถูกนำมาเสนอโดยไม่มีความเข้าใจในเนื้อหานั้นๆเลย
ซึ่งเราจะทำการจัดการความรู้ในองค์กรได้อย่างง่ายๆ โดยการค้นหาความรู้จาก บุคลากร เอกสารต่างๆ บทความ สื่อ สิ่งพิมพ์ และมานั่งดูว่าความรู้ที่จำเป็นสำหรับองค์กรนั้น มีอะไรบ้าง และองค์กรจะต้องมีความรู้อะไรบ้างที่ขาดเสียไม่ได้ และนำความรู้เหล่านั้นมาจัดลำดับความสำคัญ
ความรู้ก็คือสารสนเทศที่มีการสังเคราะห์ หรือกรั่นกรองแล้ว และสารสนเทศก็คือ ความรู้ที่ได้รับการวิเคราะห์แล้วนั่นเอง การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลนั่นแหล่ะเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ซึ่งกันและกันได้อย่างดี ซึ่งปัจจุบันมีการคิดเรื่องขององค์ความรู้ต่างๆที่มีอยู่แล้วในองค์กร แต่ยังอยู่อย่างกระจัดกระจายในองค์กร ไม่ได้มีการรวบรวมเอาไว้ในที่เดียวกัน จึงได้มีการจัดการนำความรู้เหล่านั้นเก็บรวบรวมทำเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อสามารถนำมาใช้ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน และมีการปรับเปลี่ยนความรู้เหล่านั้นไปตามยุคสมัย และเพื่อให้องค์ความรู้เหล่านั้นสามารถใช้ในการพัฒนาองค์กร จึงได้มีการแยกหมวดหมู่ของความรู้ออกเป็นส่วนๆ เป็นระบบๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังสามารถนำความรู้เหล่านั้นกลับมาใช้ใหม่ได้อีกด้วย
การเปลี่ยนจากความรู้ไปสู่การจัดการความรู้
ในองค์กรแต่ละองค์กรต่างก็แข่งขันกันเพื่อที่จะพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาและทรัพยากรทางความรู้ของแต่ละองค์กรให้ก้าวหน้า เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรของตนและจะต้องมีการบริหารจัดการทรัพย์สินทางความรู้อย่างไรเพื่อให้ความรู้นั้นเพิ่มพูน หลักสำคัญมีดังนี้
1.      การสร้างความรู้ (knowledge creation)
2.      การเก็บรวบรวมความรู้ (knowledge collection)
3.      การใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ (knowledge utilization)
ทั้ง 3 กระบวนการนี้สามารถนำไปจัดการทรัพยากรความรู้ที่มีอยู่ในองค์ได้อย่างดี ความรู้ต่างๆไม่ได้มีแต่ภายในองค์กรเท่านั้น แต่ภายนอกองค์กรก็มีความรู้มากมายที่สามารถนำมาจัดเก็บและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยเช่นกัน และเพื่อให้ความรู้มีการพัฒนาต้องมีการก่อกำเนิดความรู้ใหม่ๆขึ้นมาเสมอๆ มีการสร้างแนวคิดใหม่ ทฤษฎีใหม่ๆ ซึ่งความหมายของการก่อกำเนิดความรู้ก็คือ การแสวงหาความรู้ (knowledge acquisition) การสังเคราะห์ความรู้ (knowledge synthesis) การสร้าความรู้ (knowledge creation) ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะนำมาช่วยในการตัดสินใจขององค์กรก็คือความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรนั่นเอง การแสวงหาความรู้จึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเราจะเห็นถึงแตกต่างขององค์กรที่ประสบความสำเร็จกับองค์กรที่ล้มเหลวได้อย่างชัดเจน จากการนำความรู้มาใช้และการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความรู้ในองค์กรนั่นเอง
การจัดหมวดหมู่ของความรู้
การจัดประเภทของความรู้นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะความรู้ส่วนมากอยู่ในสมองของคนนั่นเอง หรือเรียกว่า tacit knowledge และเราจะทำอย่างไรถึงจะเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ล่ะ ส่วนความรู้อีกประเภทก็คือ ความรู้ที่ปรากฏอยู่ตามหนังสือ บทความ เอกสารต่างๆ เรียกว่า explicit knowledge อย่างแรกเลย องค์กรต้องรู้แล้วว่าความรู้ต่างๆอยู่ที่ไหน จะนำมาเก็บอย่างไร และจะเก็บความรู้อะไรบ้าง ซึ่งบุคลากรในองค์กรก็จะมีความเชี่ยวชาญต่างๆไม่เหมือนกัน และเราจะนำความรู้ออกมาจากบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร คำถามเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ จึงต้องมีวิธีในการจัดความความรู้เหล่านี้เกิดขึ้น เมื่อได้วิธีในการจัดการความรู้แล้ว ก็นำความรู้เหล่านั้นมาจัดให้เป็นหมวดหมู่ ส่วนความรู้ที่เรายังขาดอยู่ก็ไปแสวงหาเพื่อเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดเหล่านั้นเสีย แต่ต้องสร้างความรู้ใหม่ๆให้เกิดขึ้นมาด้วย เพราะองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด อีกทั้งเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการทางธุรกิจด้วย จึงต้องมีการจัดหมวดหมู่ความรู้ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดหรือกลุ่มเป้าหมายด้วย จึงต้องมีการแยกประเภทของความรู้นำมาจัดเก็บในฐานความรู้ (knowledge base) และรวบรวมให้เป็นข้อมูลสารสนเทศ (information base) ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ฐานความรู้ ซึ่งจะมีความแตกต่างทางความคิด เทคนิควิธีการ ซึ่งฐานความรู้จะเก็บเนื้อหาสาระต่างๆ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา และการเพิ่มจำนวนข้อมูล ข่าวสารต่างๆ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรก็สำคัญอย่างยิ่งทีเดียว
          การใช้ประโยชน์จากความรู้ สรุปได้จากการทำโครงการหรือกิจการต่างๆนั้น ส่วนใหญ่จะต้องอาศัยความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคลในการดำเนินการจัดการความรู้ ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากความรู้ความสามารถทำให้บรรลุได้ด้วยการเผยแพร่ความรู้และแลกเปลี่ยนความรู้ตลอดจนรวบรวมสิ่งที่เรียนรู้กลับมาเพื่อจัดทำความรู้ เพื่อให้มีคุณค่าและสร้างความรู้ใหม่ๆให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา (knowledge generation) เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างของความรู้ (knowledge gap) จึงต้องมีการพัฒนาความรู้อยู่ตลอดเวลา

***************************


สร้างบุคลากรที่เป็นแกนนำทำหน้าที่ส่งเสริม ผลักดัน กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง               การปรับปรุงและการพัฒนาองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง
จากการวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ การดำเนินธุรกิจ และการวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐาน ของประเทศต่างๆ ใน 61 ประเทศ ที่ถูกนำมาจัดเรียงตามลำดับประเทศที่ประสบความสำเร็จในแข่งขันในปี 2007 โดย International Institute for Management Development (IMD) หรือสถาบันพัฒนาการจัดการนานาชาติ  พบว่าประเทศไทย เป็นประเทศหนึ่งที่มีประสิทธิภาพการแข่งขันโดยรวมลดลง IMD ชี้ว่า ได้พบจุดอ่อนหลายด้าน ทั้งการเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีอิสระในการควบคุมบริษัทในประเทศไทย การควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมไม่ได้ผลเท่าที่ควร กลไกกระบวนการทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความไม่เป็นธรรมทางการแข่งขัน การเพิ่มผลิตภาพด้านแรงงานลดลง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  ซึ่งเป็นข่าวปรากฏต่อสายตาต่างชาติเป็นระยะๆ อันส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น  อย่างไรก็ตาม IMD แนะวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพการแข่งขันของไทยไว้ว่าไทยจะต้องปฏิรูปโครงสร้างของการนำเข้าและส่งออกสินค้าและการบริการ การวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและนำเข้าพลังงานให้ลดลง ปรับปรุงการเพิ่มผลิตภาพในภาคอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขัน ตลอดจนปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้สอดรับกับการแข่งขัน
ในปี 2550 - 2551 กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดยุทธศาสตร์ของกระทรวงที่สำคัญประการหนึ่ง เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย คือการปรับโครงสร้างการผลิตและยกระดับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มผลิตภาพภาคอุตสาหกรรม  ซึ่งมีเป้าประสงค์ที่จะให้ภาคอุตสาหกรรมมีผลิตภาพสูงขึ้น และมีการใช้ความรู้และเทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้น  ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ให้มีความพร้อมปฏิบัติงานในยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) และอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ รวมทั้งจะสนับสนุนกิจกรรมเพิ่มความรู้ความสามารถด้านการบริหารจัดการให้แก่ผู้บริหารระดับกลางในสถานประกอบการ และสนับสนุนกิจกรรมสร้างเครือข่ายในภาคเอกชนเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถานประกอบการ 
ดังนั้น หากต้องการผลักดันให้เกิดการพัฒนา ปรับปรุงประสิทธิภาพที่ต่อเนื่องอย่างยั่งยืนในองค์กร จำเป็นจะต้องสร้างบุคลากรที่ทำหน้าที่ส่งเสริม ผลักดัน และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การปรับปรุงและการพัฒนาในองค์กร โดยบุคลากรดังกล่าวจะต้องมีความรู้และแนวคิด เครื่องมือและวิธีการจัดการในการส่งเสริมผลักดันให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร และทำหน้าที่เป็นแกนนำขยายไปสู่บุคลากรอื่นๆ ทำให้เกิดวัฒนธรรมด้านคุณภาพและการเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาองค์กรเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนอย่างยั่งยืนที่แท้จริง
 ประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ
1.      องค์กรมีการปรับปรุงการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity Improvement) ด้วยการวัดผลสำเร็จที่ชัดเจน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
2.      องค์กรมีบทบาทในการพัฒนาตนเองด้วยการสร้างบุคลากรแกนนำที่ทำหน้าที่ส่งเสริมผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร
3.      บุคลากรแกนนำด้านการเพิ่มผลิตภาพขององค์กร (Productivity Facilitator) มีความสามารถส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพในระดับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง
4.      พนักงานในองค์กรมีความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึกเรื่องการเพิ่มผลิตภาพ เกิดบรรยากาศการมีส่วนร่วมของพนักงานในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร
รายละเอียดโครงการ
ขั้นเตรียมการ
1.      รับสมัครองค์กรเข้าร่วมโครงการ                          
2.      แจ้งผลและนัดหมายการตรวจประเมินเบื้องต้น        
3.      ตรวจประเมินเบื้องต้น (Initial Audit)                      
4.      คัดเลือกองค์กรเข้าร่วมโครงการ           
5.      สรุปรายชื่อ 20 องค์กรที่เข้าร่วมโครงการ               
ขั้นฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแนะนำ
1.      สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริหารระดับกลาง-ระดับสูง และศึกษาดูงานองค์กรที่ประสบความสำเร็จ      
2.      พัฒนาทีมงานส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพ และศึกษาดูงานองค์กรที่ประสบความสำเร็จ
3.      ที่ปรึกษาเข้าให้คำปรึกษาแนะนำทีมงานส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity Facilitator) ด้านการเพิ่มผลิตภาพและการรณรงค์ส่งเสริมกิจกรรมการเพิ่มผลิตภาพในองค์กร องค์กรละ 18 ครั้ง
4.      ติดตามผลการดำเนินกิจกรรมและการขยายผลต่อในองค์กร  หลังจบโครงการ 1 ครั้ง
 การจัดงานสัมมนาและนิทรรศการวิชาการ  
การสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่ผลงานโครงการในกิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำของ 20 องค์กร ให้กับองค์กรหรือผู้ประกอบการที่สนใจในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เมื่อสิ้นสุดโครงการ
แหล่งที่มา : http://www.ftpi.or.th/Home/tabid/36/Default.aspx

สรุป : การค้นหาความรู้โดยการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้แต่ละองค์กรโดยการนำอง๕ต่างๆเข้ามาอยู่รวมกันและเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีในแต่ละองค์กรเพื่อก่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆและการนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนและจัดเก็บความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ในการเข้ารับการสัมมนานี้กับองค์กรของตนได้ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาบุคลากรให้เกิดความเชี่ยวชาญใหม่ๆ ก้าวตามเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีส่วนในการนำมาพัฒนาองค์กรต่อไป

****************************

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น