- What are some of the IT innovations of the pasttwo decades that have led to “ubiquitous” computing?
- What are some ways that businesses are using theInternet to compete in new ways?
- What is meant by the term “knowledge worker,” and what IT support does this type of worker need today?
4 ความคิดเห็น:
แปลเป็นไทยว่าไงนะ
1.นวัตกรรมด้านไอทีใดบ้างในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้นำไปสู่ "ubiquitous" computing.
2.ภาคธุรกิจได้ใช้อินเตอร์เน็ตในการแข่งขันด้วยวิธีการใหม่ ๆ ด้วยวิธีใดบ้าง
3.อะไรคือความหมายของ "knowledge worker" และเทคโนโลยีสารสนเทศใดที่ตอบสนองความต้องการของคนทำงานเหล่านั้นได้ในปัจจุบัน
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจความหมายของคำว่า ubiquitous computing ว่าคืออะไร ubiquitous หมายถึง มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ส่วน computing หมายถึง ระบบการประมวลผล เมื่อนำมารวมกันแล้ว จึงหมายถึง ระบบการมวลผลที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ทำให้เห็นภาพว่า ระบบที่ว่านี้เสมือนกับการเอาคอมพิวเตอร์หรือชิพประมวลผลใส่ลงไปในทุกอณูของสิ่งต่างๆทางกายภาพ โดยรูปแบบที่เล็กที่สุดคือ ระดับอนุภาคฝุ่น (dust) ที่มีขนาดที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งแนวคิดนี้จะสามารถทำให้ทุกสิ่งบนโลกนี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์มีชีวิต อยู่ในทุกหนทุกแห่งได้อย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น มีการนำเอามาผสมเป็นวัสดุทำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และจากวิดีโอดังกล่าวก็ได้ทำให้เห็นภาพว่า เทคโนโลยีเสื้อผ้าแห่งอนาคตนั้น มิใช่เป็นแต่เพียงกันร้อนกันหนาวเท่านั้น แต่ยังสามารถจับอุณหภูมิหรือความผิดปกติต่างๆในร่างกายของเรา รวมทั้งการระบุตำแหน่งที่ตั้งของเรา เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที
หรือแม้แต่ยาที่เรารับประทานเข้าไป ในอนาคต หากว่ามีระบบประมวลผลขนาดเล็กเป็นองค์ประกอบของตัวยาได้แล้ว เราก็จะสามารถมองเห็นอวัยวะภายในทั้งหมดของเราผ่านยาตัวนี้ขณะที่มันเดินทางไปในระบบทางเดินทางอาหารของเราได้
หรือแม้แต่แว่นตากันแดด ก็จะมีสมรรถภาพในการประมวลผลบุคคลที่เราเดินผ่านไปได้ ว่ามีประวัติอย่างไร ชื่ออะไร เป็นต้น
และทุกอย่างจะถูกเชื่อมต่อกันด้วยระบบ network ที่ทรงประสิทธิภาพนั่นเอง ทำให้ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่เราเคยดูเมื่อหลายปีก่อนนั้น สามารถกลายเป็นจริงได้ในอนาคต
สำหรับคำถามที่ว่า นวัตกรรมอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมาทำให้เกิดระบบการประมวลผลที่แฝงอยู่ในทุกหนทุกแห่งนี้ น่าจะเป็น การเกิดขึ้นของ Microprocessor โดยบริษัท Intel เมื่อปี 1971
โดยเกิดขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาของ Ted Hoff หนึ่งในวิศวกรผู้ออกแบบชิพ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าจากญี่ปุ่นที่ต้องการชิพที่มีความแตกต่างกันทั้งหมด 12 ตัวสำหรับอุปกรณ์ต่างๆกัน 12 ชิ้น ด้วยกำลังการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัด เขาจึงร่วมกับทีมแล้วออกแบบชิพหนึ่งตัวที่สามารถทำงานได้ครอบคลุม 12 อย่างอย่างที่ลูกค้าต้องการ และนั่นคือ จุดกำเนิดของ Microprocessor ที่ถูกนำมาพัฒนาต่อยอดอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในปัจจุบันนี้ ชิพมีขนาดเล็กลงมาก จนสามารถใส่ในมือถือขนาดเล็กบางเฉียบได้
และจากแนวโน้มของ Hardware ที่จะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค จึงทำให้แนวคิดที่ว่า จะพัฒนาตัวประมวลผลให้มีขนาดเล็กจนมีอนุภาคเท่าฝุ่นนั้นสามารถเป็นไปได้ และเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาและประยุกต์ใช้ ubiquitous computing อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ นวัตกรรมในด้านของอินเตอร์เน็ต ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีการสื่อสาร ก็เป็นส่วนที่ทำให้เกิดพัฒนาการมาถึงจุดของ ubiquitous computing เพราะ หากมีเพียงระบบประมวลเล็กๆ อยู่ในสิ่งต่างๆ แต่ไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลหรือการสื่อสารกันแล้ว การประมวลผลนั้น ก็ไม่สามารถจะนำเอาไปประยุกต์ทำประโยชน์ได้มากนัก ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าเราจะมีเสื้อผ้าที่ตรวจจับความผิดปกติในร่างกายได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารไปยังศูนย์รับข้อมูลของโรงพยาบาลที่เราได้ทำประกันสุขภาพเอาไว้ได้ หรือไม่สามารถสื่อสารไปยังศูนย์ข้อมูลช่วยเหลือฉุกเฉินเช่น 191 ได้ เราก็อาจไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ซึ่งมีเทคโนโลยีประมวลผลทรงประสิทธิภาพมากก็จริง แต่หากขาดนวัตกรรมด้านระบบเครือข่ายแล้ว ubiquitous computing ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับโลก สื่อสารกันด้วย TCP/IP network protocols ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
จะเห็นว่า เป็นเครือข่ายขนาดมหึมา เป็นได้ทั้งเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายทุน เครือข่ายผู้ประกอบการ เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นการข้ามขอบเขตทางกายภาพอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ทั้งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างกว้างขวาง และได้ทำให้กลุ่มคนเล็กๆ บริษัทเล็กๆ หรือบริษัทที่ไม่มีที่ตั้งทางกายภาพ สามารถบริหารงานได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือมากกว่าบริษัทใหญ่ยักษ์ที่ตั้งขึ้นมาหลายสิบปี
วิธีเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรนั้น Michael E. Porter ได้เสนอว่ามี 3 วิธีคือ
Cost คือ ให้มีต้นทุนต่ำที่สุด
Differentiation คือ ทำให้แตกต่าง
Focus คือ การเจาะกลุ่มเป้าหมาย
และในยุคนี้ อินเตอร์เน็ตและระบบสารสนเทศก็สามารถนำมาใช้เพื่อผลักดันให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันได้ดังนี้
Cost อินเตอร์เน็ตสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานต่างๆได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น
การติดต่อสื่อสารทั้งภายในและภายนอก จากแต่เดิมเคยใช้โทรศัพท์หรือ Messenger ก็เปลี่ยนมาติดต่อโดยใช้อีเมลแทน
การประชุม อบรมสัมมนา โดยวิทยากรไม่จำเป็นต้องเดินทางอีกต่อไป สามารถที่จะใช้เทคโนโลยี VDO Conference ทำให้ประหยัดค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าเช่าสถานที่ ค่าอาหารและของว่าง เป็นต้น
ลดการใช้กระดาษ เนื่องจากบริษัทสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆบน network หรือ media ต่างๆได้เลย Print เฉพาะเอกสารที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ
Differentiation ในที่นี้อาจหมายถึงการผลิตบริการที่แตกต่างจากคู่แข่งออกไป ยกตัวอย่างเช่น
การให้ลูกค้าสั่งซื้อผลิตภัณฑ์บนเว็บไซท์ โดยมีการพัฒนาเว็บไซท์ให้สวยงามน่าใช้ มีลักษณะเฉพาะตัว ใช้ง่าย และมีระบบตรวจสอบ (E-tracking) ที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้เองจากหมายเลขอ้างอิงที่ได้รับ เหมือนที่ไปรษณีย์ไทยนำเอาระบบตรวจเช็คสถานการณ์ส่งพัสดุมาให้ลูกค้าใช้ตรวจสอบ
การทำให้แตกต่างทางอ้อม คือ การนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและอินเตอร์เน็ตมาใช้สนับสนุนการทำงานของแรงงานความรู้ เช่น พนักงานขายมืออาชีพของบริษัท เช่น เวลาที่พวกเขาไปพบปะลูกค้า จะสามารถเช็คข้อมูล stock แบบ real time หรือข้อมูลอื่นๆที่ลูกค้าต้องการทราบในขณะนั้นได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ดีขึ้น
Focus การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเจาะกลุ่มเป้าหมายนั้น สามารถใช้ประโยชน์ได้จาก Social Networking เช่น Facebook, Hi5 หรือ Pantip โดยปกติแล้ว ในกลุ่มคนที่อยู่ใน social networking นี้ ก็จะมีการรวมตัวกันตามความสนใจของแต่ละคนอยู่แล้ว มีการอัพเดทข้อมูลข่าวสารเป็นประจำอยู่เสมอๆ ซึ่งธุรกิจต่างๆ สามารถที่จะเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค หรือ ไปลงโฆษณาต่างๆ ได้ ซึ่งจะทำให้การตลาดนั้นทำได้ตรงจุดมากขึ้นโดยเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลดลง
knowledge worker เป็นบุคลากรที่ใช้ความรู้ความสามารถในการตีความข้อมูลข่าวสารในบริบทใดบริบทหนึ่ง
หรือพูดง่ายๆว่า เป็นบุคลากรที่ต้องทำงานกับข้อมูลจำนวนมากๆ และมีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล บรรลุวัตถุประสงค์ของงานและรวมไปถึงการริเริ่มสร้างสรรค์ให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
Knowledge worker จึงมีชื่อเรียกอีกว่า intellectual worker หรือ brain worker นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมด รวมไปถึง นักขาย ทนาย ครู อาจารย์ หมอ นักข่าว เป็นต้น และมีแนวโน้มว่า คนทุกส่วนในระบบเศรษฐกิจแบบใหม่หรือที่เรียกว่าเศรษฐกิจฐานความรู้นั้น จะต้องได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็น knowledge worker ไม่เร็วก็ช้า เพื่อความอยู่รอดในการดำรงชีวิตอยู่และเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ
และเนื่องจากในปัจจุบันนี้มีกลุ่มคนที่เรียกว่า Telecommuters ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่ทำงานไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ซึ่งมักเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่สังกัดบริษัทใดๆทั้งสิ้น รับงานเป็นครั้งคราวไป ก็ถือว่าเป็น knowledge worker อีกส่วนหนึ่งที่กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว knowledge worker คือ คนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลและต้องนำข้อมุลนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่องานที่ทำและบรรลุวัตถุประสงค์
โดยในขณะนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มบุคลากรที่สังกัดบริษัท กับ free agents นั่นเอง
แต่สิ่งที่คน 2 กลุ่มนี้ต้องการการสนับสนุนทางด้าน IT เหมือนกันก็คือ โครงข่ายการสื่อสารและระบบเน็ตเวิร์คที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ในที่นี้หมายถึง ความรวดเร็ว ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล ความครอบคลุมของระบบเครือข่ายการสื่อสาร การรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล รวมไปถึงระบบการจัดเก็บข้อมูลสำรอง (backup) ที่น่าเชื่อถือ
นอกจากทางด้านโครงสร้างของระบบเครือข่ายแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ ระบบการจัดเก็บและสืบค้นสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ เป็นหมวดหมู่ สามารถดึงออกมาใช้ได้ง่ายและตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
แสดงความคิดเห็น